หน่วยรับข้อมูลทำหน้าที่รับโปรแกรมและข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
โดยข้อมูลอาจส่งผ่านอุปกรณ์รับข้อมูลได้โดยตรง เช่น ผ่านแผงแป้นอักขระ
(Keyboard) เมาส์ (Mouse) ปากกาแสง (Light Pen) ก้านควบคุม (Joystick)
เครื่องอ่านรหัสแท่ง (Bar Code Reader)
หรือโดยใช้อุปกรณ์รับข้อมูลอ่านข้อมูลในสื่อข้อมูล
ซึ่งในกรณีนี้ต้องนำข้อมูลมาบันทึกลงสื่อข้อมูลเสียก่อน
ตัวอย่างของอุปกรณ์รับข้อมูลเหล่านี้ ได้แก่ เครื่องขับแผ่นบันทึก (Disk
Drive) เครื่องขับเทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape Drive)
สำหรับตัวอย่างสื่อข้อมูล ได้แก่ แผ่นบันทึก (Floppy Disk หรือ Diskette)
เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) เป็นต้น
โดยอุปกรณ์รับข้อมูลจะเปลี่ยนข้อมูลที่รับเข้ามาให้อยู่ในรูปของรหัส
แล้วส่งไปยังหน่วยความจำเพื่อเตรียมทำการประมวลผลต่อไปอุปกรณ์รับเข้าใน
ปัจจุบันมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีวิธีการในการนำข้อมูลเข้าที่ต่าง ๆ กัน
เราอาจแบ่งประเภทของอุปกรณ์รับเข้าตามลักษณะการรับข้อมูลเข้าได้ดังนี้
1.อุปกรณ์รับเข้าแบบกด
แผงแป้นอักขระ (Keyboard)
เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
จะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับ
คอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป
แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก
เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น
การวางตำแหน่งแป้นอักขระ
จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีดที่มีการใช้แป้นยก
แคร่ (Shift)
เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์
เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้ในคอมพิวเตอร์
ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 บิต และ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์
แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์
เมื่อนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานพิมพ์ภาษาไทย
จึงต้องมีการดัดแปลงแผงแป้นอักขระให้สามารถใช้งานได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษา
ไทย กลุ่มแป้นที่ใช้พิมพ์ตัวอักษรภาษาไทยจะเป็นกลุ่มแป้นเดียวกับภาษาอังกฤษ
แต่จะใช้แป้นพิเศษแป้นหนึ่งทำหน้าที่สับเปลี่ยนการพิมพ์ภาษาไทยหรือภาษา
อังกฤษภายใต้การควบคุมของซอฟต์แวร์อีกชั้นหนึ่ง
แผงแป้นอักขระสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตระกูลไอบีเอ็มที่ผลิตออกมารุ่น
แรก ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 จะมีแป้นรวมทั้งหมด 83 แป้น ซึ่งเรียกว่า
แผงแป้นอักขระพีซีเอ็กซ์ที ต่อมาใน พ.ศ. 2527
บริษัทไอบีเอ็มได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระ กำหนดสัญญาณทางไฟฟ้าของแป้นขึ้น
จัดตำแหน่งและขนาดแป้นให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยมีจำนวนแป้นรวม 84 แป้น
เรียกว่า “แผงแป้นอักขระพีซีเอที”
และในเวลาต่อมาก็ได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระขึ้นพร้อม ๆ กับการออกเครื่องรุ่น
PS/2 โดยใช้สัญญาณทางไฟฟ้าเช่นเดียวกับแผงแป้นอักขระรุ่นพีซีเอทีเดิม
และเพิ่มจำนวนแป้นอีก 17 แป้น รวมเป็น 101
แป้นการเลือกซื้อแผงแป้นอักขระควรพิจารณารุ่นใหม่ที่เป็นมาตรฐานและสามารถ
ใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่
สำหรับเครื่องขนาดกระเป๋าหิ้วไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อปหรือโน้ตบุ๊ค
ขนาดของแผงแป้นอักขระยังไม่มีการกำหนดมาตรฐาน
เพราะผู้ผลิตต้องการพัฒนาให้เครื่องมีขนาดเล็กลง โดยลดจำนวนแป้นลง
แล้วใช้แป้นหลายแป้นพร้อมกันเพื่อทำงานได้เหมือนแป้นเดียว
2. อุปกรณ์รับเข้าแบบชี้ตำแหน่ง
เมาส์ (Mouse)
ซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ที่พัฒนาในระยะหลัง ๆ นี้
สามารถติดต่อกับผู้ใช้โดยการใช้รูปกราฟิกแทนคำสั่ง
มีการใช้งานเป็นช่องหน้าต่าง และเลือกรายการหรือคำสั่งด้วยภาพหรือสัญรูป
(Icon) อุปกรณ์รับเข้าที่นิยมใช้จึงเป็นอุปกรณ์ประเภทตัวชี้ที่เรียกว่า
“เมาส์” (Mouse) เมาส์เป็นอุปกรณ์ที่ให้ความรู้สึกที่ดีต่อการใช้งาน
ช่วยให้การใช้งานง่ายขึ้น ด้วยการใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้ไปยังตำแหน่งต่าง ๆ
บนจอภาพ ในขณะที่สายตาจับอยู่ที่จอภาพก็สามารถใช้มือลากเมาส์ไปมาได้
ระยะทางและทิศทางของตัวชี้จะสัมพันธ์และเป็นไปในแนวทางเดียวกับการเลื่อน
เมาส์ เมาส์ แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบทางกลและแบบใช้แสง
แบบทางกลเป็นแบบที่ใช้ลูกกลิ้งกลมที่มีน้ำหนักและแรงเสียดทานพอดี
เมื่อเลื่อนเมาส์ไปในทิศทางใดจะทำให้ลูกกลิ้งเคลื่อนไปมาในทิศทางนั้น
ลูกกลิ้งจะทำให้กลไกซึ่งทำหน้าที่ปรับแกนหมุนในแกน X และแกน Y
แล้วส่งผลไปเลื่อนตำแหน่ง เมาส์แบบทางกลนี้ มีโครงสร้างที่ออกแบบได้ง่าย
มีรูปร่างพอเหมาะ คือ
ส่วนลูกกลิ้งจะต้องออกแบบให้กลิ้งได้ง่ายและไม่ลื่นไถล
สามารถควบคุมความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง
สัมพันธ์ระหว่างทางเดินของเมาส์และจอภาพ
เมาส์แบบใช้แสงอาศัยหลักการส่งแสงจากเมาส์ลงไปบนแผ่นรองเมาส์ (Mouse Pad)
ซึ่งเป็นตาราง (Grid) ตามแนวแกน X และแกน Y
เมื่อเลื่อนตัวเมาส์เคลื่อนไปบนแผ่นตารางรองเมาส์
ก็จะมีแสงตัดผ่านตารางและสะท้อนขึ้นมา ทำให้ทราบตำแหน่งที่ลากไป
เมาส์แบบนี้ไม่ต้องใช้ลูกกลิ้งกลม แต่ต้องใช้แผ่นตารางรองเมาส์พิเศษ
อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
เนื่อง
จากเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์
ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการพกพาไปในที่ต่าง ๆ
จึงจำเป็นต้องออกแบบให้มีอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงน้อยที่สุด
และใช้เนื้อที่ในการใช้งานน้อยที่สุด
ดังจะเห็นว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวมีแผงแป้นอักขระติดอยู่กับจอภาพและ
อุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบัน คือ เมาส์ จึงต้องมีการคิดค้นอุปกรณ์ที่จะทำหน้าที่แทนเมาส์
โดยจะต้องออกแบบให้สามารถติดอยู่กับตัวเครื่องได้เลย สะดวกในการพกพา
และใช้พื้นที่ในการทำงานน้อย
ในปัจจุบันเรามีอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่และมีคุณสมบัติดังที่กล่าวมาอยู่ 3 ชนิด
ได้แก่
ก) ลูกกลมควบคุม (Track Ball)
มีลักษณะเป็นลูกบอล
กลมอยู่ภายในเบ้าตรงบริเวณแผงแป้นอักขระของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
ผู้ใช้สามารถใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้ควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวชี้บนจอภาพ
โดยการหมุนลูกกลมไปในทิศทางที่ต้องการ
ลูกกลมควบคุม
ข) แท่งชี้ควบคุม (Track Point)
มีลักษณะเป็นแท่ง
พลาสติก ที่ส่วนยอดหุ้มด้วยยางโผล่ขึ้นมาตรงกลาง
ในแผงแป้นอักขระของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
ผู้ใช้สามารถใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้ควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวชี้บนจอภาพ โ
ดยการโยกแท่งชี้ควบคุมไปในทิศทางที่ต้องการ
แสดงการใช้งานแท่งชี้ควบคุมบนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
ค) แผ่นรองสัมผัส (Touch Pad)
เป็นแผ่นพลาสติกที่
ไวต่อการสัมผัส อยู่ตรงหน้าแผงแป้นอักขระของเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
เป็นอุปกรณ์ที่นิยมติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กในปัจจุบัน
เนื่องจากใช้งานง่าย
ผู้ใช้สามารถใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้ควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวชี้บนจอภาพ
โดยการแตะสัมผัสบนแผ่นรองสัมผัสเพื่อควบคุมตัวชี้ไปในทิศทางที่ต้องการ
และสามารถคลิกหรือดับเบิลคลิกเพื่อเลือกรายการหรือสัญรูปได้
แสดงตำแหน่งของแผ่นรองสัมผัสบนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
3) ก้านควบคุม (Joystick)
อุปกรณ์รับเข้าชนิดนี้
เป็นที่คุ้นเคยของนักเรียนที่นิยมเล่นเกมคอมพิวเตอร์ชนิดที่มีการแสดงผลเป็น
กราฟิกที่ตัวผู้เล่นที่ปรากฏบนจอภาพต้องมีการเคลื่อนที่เพื่อทำภารกิจตาม
กติกาของเกม
ตัวผู้เล่นที่ปรากฏบนจอภาพเปรียบได้กับตัวชี้ตำแหน่งที่ปรากฏในซอฟต์แวร์
ประยุกต์ทั่วไปและก้านควบคุมนี้ก็ทำหน้าที่เหมือนเมาส์ที่คอยกำหนดการ
เคลื่อนที่ของตัวชี้บนจอภาพ
โดยลักษณะของก้านควบคุมจะคล้ายกล่องที่มีก้านโผล่ออกมา
และก้านนั้นสามารถบิดขึ้น ลง ซ้าย ขวา ได้
การเคลื่อนที่ของก้านนี้เองที่เป็นการกำหนดทิศทางการเคลื่อนที่ของตัวชี้
ตำแหน่ง
ก้านควบคุม
หลักการทำงานของก้านควบคุมจะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ภายในที่เรียกว่า
“โพเทนชันมิเตอร์” (Potentionmeter) สองตัว
โพเทนชันมิเตอร์จะหมุนตามและอ่านค่าทิศทางการบิดของก้านควบคุม
โพเทนชันมิเตอร์ตัวหนึ่งจะรับรู้ทิศทางในแนวแกน X หรือแนวนอน (Horizontal
Line) ในขณะที่อีกตัวหนึ่งจะรับรู้ทิศทางในแนวแกน Y หรือแนวตั้ง (Vertical
Line) การอ่านค่าของการบิดก้านควบคุมของอุปกรณ์ทั้งสองชิ้นจะให้สัญญาณไฟฟ้า
2 สัญญาณที่เป็นอิสระต่อกันส่งต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์
และเป็นข้อมูลที่ไปกำหนดการเคลื่อนที่ของตัวชี้ตำแหน่งหรือตัวของผู้เล่นบน
จอภาพ ดังนั้น จะเห็นว่าการทำงานของก้านควบคุมจะไม่ให้รายละเอียดมาก
เพียงแค่ให้ผู้ใช้เห็นทิศทางการเคลื่อนที่ของตัวชี้ได้เท่านั้น
4) อุปกรณ์รับเข้าแบบปากกา
อุปกรณ์รับเข้าในกลุ่ม
นี้จะมีส่วนประกอบอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ คือ
อุปกรณ์ที่มีรูปร่างเหมือนปากกา แต่จะมีแสงที่ปลาย
งานที่ใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้มักเป็นงานเกี่ยวกับกราฟิกที่ต้องมีการวาดรูป
งานวาดแผนผัง และงานคอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบ (Computer Aided Design : CAD)
ซึ่งถ้าใช้อุปกรณ์ที่มีรูปร่างเหมือนปากกา
จะช่วยให้ทำงานได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
อุปกรณ์รับเข้าระบบปากกาที่มีใช้งานอยู่แพร่หลาย ได้แก่
1) ปากกาแสง (Light Pen)
เป็นอุปกรณ์ที่ไวต่อแสง
ที่นอกจากจะใช้ในการวาดรูปสำหรับงานกราฟิกแล้ว
ยังสามารถทำหน้าที่เหมือนเมาส์ในการชี้ตำแหน่งบนจอภาพหรือทำงานกับรายการ
เลือกและสัญรูปเพื่อสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยที่ปลายข้างหนึ่งของปากกาชนิดนี้จะมีสายเชื่อมที่สามารถต่อเข้ากับ
เครื่องคอมพิวเตอร์
เมื่อมีการแตะปากกาที่จอภาพข้อมูลจะถูกส่งผ่านสายนี้ไปยังเครื่อง
คอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถรับรู้ตำแหน่งที่ชี้และกระทำตามคำสั่งได้
นอกจากนี้เมื่อมีการใช้คอมพิวเตอร์ชนิดพกพาหรือปาล์มท็อปอย่างแพร่หลาย
ก็มีการนำปากกาชนิดนี้มาใช้ในการรับข้อมูลที่เป็นลายมือบนเครื่อง
คอมพิวเตอร์ชนิดนี้ด้วย
ปากกาแสง ปลายด้านหนึ่งมีสายเชื่อมไปต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์
แสดงการใช้ปากกาแสงเลือกรายการบนจอภาพ
2) เครื่องอ่านพิกัด (Digitizing Tablet)
หรืออาจ
เรียกว่าแผ่นระนาบกราฟิก (Graphic Tablet)
เป็นอุปกรณ์รับเข้าที่มีส่วนประกอบ 2 ชิ้น ได้แก่
กระดานแบบสี่เหลี่ยมที่มีเส้นแบ่งเป็นตาราง (Grid)
ของเส้นลวดที่ไวต่อสัมผัสสูง
และปากกาที่ทำหน้าที่เป็นตัวชี้ตำแหน่งหรือวาดรูปบนกระดานข้างต้น
คอมพิวเตอร์สามารถรับรู้ตำแหน่งของกระดานที่มีการสัมผัสหรือวาดเส้น
และเส้นที่วาดจะแสดงบนจอภาพได้
อุปกรณ์ชิ้นนี้มักใช้ในการออกแบบรถยนต์หรือหุ่นยนต์
แสดงการใช้เครื่องอ่านพิกัดช่วยในงานออกแบบ
4) อุปกรณ์รับเข้าแบบจอสัมผัส
จอสัมผัส (Touch
Screen)
เป็นจอภาพแบบพิเศษที่สามารถรับรู้ได้ว่ามีการสัมผัสที่ตำแหน่งใดบนจอภาพ
เมื่อมีการเลือก
ตำแหน่งที่เลือกจะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังซอฟต์แวร์ที่ทำงานเพื่อแปล
เป็นคำสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน
โดยซอฟต์แวร์ที่ใช้งานมักเป็นซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นเฉพาะ
การใช้จอสัมผัสเหมาะกับการใช้งานหรือซอฟต์แวร์ที่ต้องมีการเลือกคำสั่งใน
รายการเลือกหรือสัญรูป
โดยต้องออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ให้มีสัญรูปที่มีขนาดใหญ่
เพื่อสะดวกในการเลือกและลดความผิดพลาด
ปัจจุบันเราจะพบเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้จอภาพสัมผัสวางอยู่ทั่วไปตาม
สถานที่สาธารณะหรือห้างสรรพสินค้า
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งไว้เพื่อให้ข้อมูลทางการท่อง
เที่ยว เครื่องคอมพิวเตอร์บอกตำแหน่งต่าง ๆ ในสถานที่
เครื่องคอมพิวเตอร์อธิบายสินค้าหรือบริการ หรือแม้แต่ตู้เกมแบบหยอดเหรียญ
แสดงการใช้งานจอสัมผัสเลือกตำแหน่งบนจอภาพ
เทคโนโลยีการผลิตจอภาพสัมผัสในปัจจุบันมีด้วยกัน 4
แบบได้แก่เทคโนโลยีเยื่อเชิงตัวนำ (Conductive Membrane)
เทคโนโลยีจานเก็บประจุ (Capacity Plate) เทคโนโลยีคลื่นจากสมบัติของเสียง
(Acoustic Wave) และเทคโนโลยีลำแสงรังสีอินฟาเรด (Infrared-Beam)
ซึ่งเทคโนโลยีสุดท้ายเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากมีความละเอียดมาก
แต่ก็มีราคาแพง
ถึงแม้การใช้จอภาพสัมผัสจะช่วยให้การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ทำได้ง่ายขึ้น
โดยสามารถใช้นิ้วมือสั่งงานบนจอภาพโดยตรง
แต่ก็ไม่เหมาะกับการนำมาใช้งานทั่วไป
เนื่องจากอุปกรณ์ประเภทนี้มีน้ำหนักมากและต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสูง
5) อุปกรณ์รับเข้าแบบกราดตรวจ
1) เครื่องอ่านรหัสแท่ง (Bar Code Reader)
ก่อนที่เราจะรู้จักกับ
เครื่องอ่านรหัสแท่ง ก็คงต้องทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “รหัสแท่ง”
(Bar Code) ก่อน
รหัสแท่งเป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้บ่อยในการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็นบนสินค้าในห้างสรรพสินค้าหรือบนหนังสือห้องสมุด
รหัสแท่งเป็นสัญลักษณ์หรือรหัสที่มีลักษณะเป็นแท่งหรือแถบสีขาวและดำเรียง
ต่อเนื่องกันในแนวตั้ง แต่ละแท่งมีความหนาไม่เท่ากัน
ความหนาที่แตกต่างกันนี้เองทำให้เราสามารถใช้รหัสแท่งเป็นสัญลักษณ์แทน
สินค้าหรือของที่ต่างชนิดกันหรือคนละชิ้นกันได้
รหัสแท่ง
สำหรับเครื่องอ่านรหัสแท่งเป็นอุปกรณ์ที่คิดค้นขึ้นเพื่อนำเข้าข้อมูลที่
เป็นรหัสแท่งโดยเฉพาะ โดยก่อนที่จะนำระบบการอ่านรหัสแท่งมาใช้ในงานใด ๆ
ต้องกำหนดมาตรฐานของรหัสแท่งที่ใช้เสียก่อน เช่น
ในซูเปอร์มาร์เก็ตนิยมใช้มาตรฐานยูพีซี (Universal Product Code :
UPC)ซึ่งเข้ารหัสโดยใช้ตัวเลขความยาว 12 ตัว
โดยตัวเลขแต่ละตัวจะมีความหมายที่สามารถอ้างถึงสินค้าได้ ในขณะที่หน่วยงาน
เช่น โรงเรียน โรงงาน มักนำมาตรฐานโค้ด 39 (Three Of Nine) มาใช้งาน
เนื่องจากมีความยืดหยุ่นกว่า และสามารถเข้ารหัสได้ทั้งตัวเลข
ตัวอักษรภาษาอังกฤษ และอักขระพิเศษ
นอกจากนี้ยังสามารถขยายความยาวของรหัสได้ตามต้องการด้วย
เครื่องอ่านรหัสแท่งแบบต่าง ๆ
การทำงานของเครื่องอ่านรหัสแท่งใช้หลักการของการสะท้อนแสง
โดยเครื่องอ่านจะส่องลำแสงไปยังรหัสแท่งที่อยู่บนสินค้า
แล้วแปลงรหัสที่อ่านได้เป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งผ่านสายที่เชื่อมต่ออยู่กับ
เครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อให้ซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ชิ้นนี้โดยเฉพาะนำไป
ประมวลผล ซึ่งโดยมากมักเป็นซอฟต์แวร์ทางด้านฐานข้อมูล เช่น
ถ้าเป็นการขายสินค้า
เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์รับสัญญาณจากเครื่องอ่านจะรับรู้ว่าสินค้าชนิดใดถูก
ขายไป
ซอฟต์แวร์จะสั่งให้ไปดึงข้อมูลราคาของสินค้าชนิดนั้นขึ้นมาแสดงที่จอภาพ
ในขณะเดียวกันจะไปลดจำนวนสินค้าชนิดนั้นออกจากข้อมูลสินค้าคงคลัง
เครื่องอ่านรหัสแท่งนี้ได้รับความนิยมมากเนื่องจากสามารถอำนวยความสะดวกใน
การนำเข้าข้อมูลแทนการนำเข้าข้อมูลผ่านแผงแป้นอักขระ
สามารถลดความผิดพลาดระหว่างการนำเข้าข้อมูล
และช่วยให้การทำงานเป็นอัตโนมัติเนื่องจากสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลได้
2) เครื่องกราดตรวจ (Scanner)
หรือ
ที่เรานิยมเรียกกันว่า “สแกนเนอร์” (Scanner)
เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้งานเอกสารและงานนำเสนอข้อมูลเป็น
อย่างมาก
อุปกรณ์นี้สามารถนำเข้าข้อมูลที่เป็นรูปภาพหรือข้อความที่อยู่บนสิ่งพิมพ์
ได้ โดยใช้หลักการสะท้อนแสง
ข้อมูลที่รับเข้าโดยอุปกรณ์ชิ้นนี้จะเป็นรูปภาพที่ได้รับการแปลงให้อยู่ใน
รูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและตีความได้
และสามารถเก็บในหน่วยความจำได้
ผู้ใช้สามารถนำรูปดังกล่าวไปประกอบในแฟ้มข้อมูลเอกสารที่สร้างจากซอฟต์แวร์
ประมวลคำ หรือแฟ้มข้อมูลงานนำเสนอที่สร้างจากซอฟต์แวร์นำเสนอข้อมูลได้
เครื่องกราดตรวจ
ในการใช้งานอุปกรณ์ชิ้นนี้ต้องมีซอฟต์แวร์ช่วยในการแสดงข้อมูลและจัดเก็บ
ด้วย การทำงานของอุปกรณ์ใช้เทคโนโลยีการส่องแสงผ่านฟิลเตอร์ 3 ตัว ได้แก่
ฟิลเตอร์สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ไปยังวัตถุที่ต้องการกราดตรวจ (Scan)
เมื่อแสงผ่านวัตถุจะเกิดการสะท้อนผ่านกระจกและเลนส์ส่งไปยังวัตถุไวแสง
ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับความเข้มของแสง
หลังจากนั้นแปลงความเข้มของแสงที่แตกต่างกันให้เป็นข้อมูลแบบดิจิตอลที่
คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้
และข้อมูลดังกล่าวจะแสดงเป็นรูปภาพโดยซอฟต์แวร์ที่ใช้ร่วมกับเครื่อง
สแกนเนอร์นั้น ๆ
ผู้ใช้สามารถจัดเก็บแล้วนำรูปที่ได้ไปตกแต่งเพิ่มเติมโดยใช้ซอฟต์แวร์กราฟิก
เช่น ซอฟต์แวร์โฟโทชอพ (Photoshop)คุณภาพของสแกนเนอร์
จะพิจารณาจากความละเอียดของภาพซึ่งมีหน่วยเป็นจุดต่อนิ้ว (Dot Per Inch :
dpi) ภาพที่มีจำนวนจุดต่อนิ้วมากจะมีความละเอียดสูง ซึ่งจะเหมือนรูปจริงมาก
นอกจากนี้ความสามารถในการแยกแยะสีของสแกนเนอร์และความเร็วในการกราดตรวจก็มี
ความสำคัญเช่นกัน
3) กล้องถ่ายภาพดิจิตอล (Digital Camera)
เป็นอุปกรณ์รับเข้าที่นิยมมากในปัจจุบัน
อุปกรณ์ชนิดนี้สามารถนำเข้าข้อมูลที่เป็นรูปภาพหรือกราฟิก
มีลักษณะและการใช้งานเหมือนกล้องถ่ายรูปธรรมดาทั่วไป
แต่กล้องดิจิตอลไม่ต้องใช้ฟิล์มในการบันทึกภาพ
แต่จะเก็บข้อมูลภาพไว้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ข้อมูลที่เก็บเป็นข้อมูลแบบดิจิตอล ที่รูปแต่ละรูปประกอบด้วยจุดภาพ(Pixel)
เล็ก ๆ จำนวนมาก ความละเอียดของภาพขึ้นอยู่กับจำนวนจุดดังกล่าว
กล้องดิจิตอลที่ผลิตได้ในปัจจุบันมีความละเอียดของภาพมากกว่า 1 ล้านจุดภาพ
และข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้กล้องดิจิตอลเป็นที่นิยม คือ
ผู้ใช้สามารถดูผลการถ่ายรูปได้หลังจากถ่ายรูปแต่ละรูปเลย
โดยใช้จอภาพที่อยู่บนกล้อง
หากรูปที่ถ่ายนั้นไม่เป็นที่พอใจก็สามารถถ่ายใหม่ได้ทันที
กล้องถ่ายภาพดิจิตอลและหน่วยความจำแบบแฟลชที่เก็บข้อมูล
ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าอุปกรณ์เก็บข้อมูลของกล้องดิจิตอลเป็นอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งก็คือหน่วยความจำรองที่ใช้เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์
เช่น แผ่นบันทึก หรือหน่วยความจำที่เรียกว่า “คอมแพ็กแฟลช” (Compact
Flash) ซึ่งเป็นแผ่นซิลิคอนเล็ก ๆ ที่บรรจุวงจรอิเล็กทรอนิกส์ไว้จำนวนมาก
มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาเหมาะกับการพกพา
เมื่อต้องการย้ายข้อมูลรูปภาพในคอมแพ็กแฟลชมาเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์ต้อง
ใช้สายเชื่อมต่อจากกล้องมายังเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเป็นสื่อหรือเส้นทางใน
การย้ายข้อมูล
อุปกรณ์รับเข้าแบบจดจำเสียง
การใช้งานคอมพิวเตอร์ในยุคใหม่นี้มีความพยายามทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์
สามารถรับคำสั่งหรือข้อมูลที่เป็นเสียงพูดได้
ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการสั่งงานคอมพิวเตอร์
อุปกรณ์รับเข้าที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อประโยชน์ดังกล่าว เรียกว่า
“อุปกรณ์วิเคราะห์เสียงพูด” (Speech Recognition Device)
ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างนักคอมพิวเตอร์และนัก
ภาษาศาสตร์
การใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ต้องมีซอฟต์แวร์ที่เก็บฐานข้อมูลของคำศัพท์และความหมาย
ของคำ นอกจากนี้ยังต้องจดจำน้ำเสียงและสำเนียงของผู้ที่จะใช้งานด้วย
เนื่องจากการพูดของคนแต่ละคนมีความแตกต่างกันในแง่ของน้ำเสียงและสำเนียง
ดังนั้นก่อนการใช้งานอุปกรณ์ชิ้นนี้
ต้องทำให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้และจดจำน้ำเสียงและสำเนียงของผู้ใช้งานระยะ
หนึ่งก่อนจึงจะใช้เริ่มงานจริงได้
ส่วนการทำงานของอุปกรณ์ชิ้นนี้จะรับข้อมูลเข้าทางไมโครโฟน (Microphone)
แล้วแปลงข้อมูลเสียงให้เป็นข้อมูลแบบดิจิตอล
หลังจากนั้นนำข้อมูลที่แปลงได้ไปเปรียบเทียบกับคำศัพท์ในฐานข้อมูล
หาความหมายของคำนั้น ซึ่งอาจเป็นคำสั่ง
เมื่อได้ความหมายก็สั่งให้คอมพิวเตอร์กระทำการตามความหมายของคำสั่งดังกล่าว
ถึงแม้อุปกรณ์ชิ้นนี้จะสามารถรับเข้าข้อมูลสะดวกสบายขึ้น
อีกทั้งสามารถช่วยคนตาบอดที่ไม่สามารถสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านแผงแป้น
อักขระหรือเมาส์ได้ แต่ก็ยังมีข้อเสียที่ต้องได้รับการพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ
เช่น ปัญหาในเรื่องของน้ำเสียงและสำเนียง
เนื่องจากผู้สั่งการถึงแม้จะเป็นคนเดียวกัน
แต่หากสั่งการในสภาวะอารมณ์ที่แตกต่างกัน มีผลให้น้ำเสียงแตกต่างจากเดิม
การทำงานของอุปกรณ์ก็อาจผิดพลาดไปได้
ปัญหาในเรื่องความสามารถในการจดจำคำศัพท์ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของหน่วยความ
จำ ทำให้จำนวนคำศัพท์ที่จำได้มีจำกัด
และไม่สามารถแยกแยะคำศัพท์ที่พ้องเสียงกันได้ เช่น คำศัพท์ภาษาอังกฤษ to
too และ two
อ้างอิง http://www.chakkham.ac.th/krusuriya/index.php?option=com_content&view=article&id=86&Itemid=102